ก่อนตัดสินใจดำเนินการด้านการตลาด หากไม่มีข้อมูลที่ชัดเจน หรือใช้การเดาโดยไม่วางแผน ย่อมเสี่ยงต่อการสูญเสียโอกาสทางธุรกิจอย่างมหาศาล เพราะคู่แข่งทุกรายแข่งขันกันด้วยข้อมูลจริง ดังนั้นการทำ A/B Testing จึงกลายเป็นอาวุธสำคัญของนักการตลาดมืออาชีพที่ใครก็ขาดไม่ได้ โดยเฉพาะใครที่ตัดสินใจได้แม่นยำก็จะสร้างผลลัพธ์ที่วัดผลได้จริง จนส่งผลดีกับยอดขายที่สูงกว่าเดิมและมีแนวทางชัด มาดูกันว่าเราจะทำตามแผนนี้ได้อย่างไร มีวิธีทำอย่างไรบ้าง รวมถึงข้อควรระวัง!
A/B Testing คืออะไร ?
A/B Testing คือการทดลองเปรียบเทียบ 2 เวอร์ชันของหน้าเว็บ แอปพลิเคชัน หรือแคมเปญการตลาดที่แตกต่างกันโดยแบ่งกลุ่มเป้าหมายแบบสุ่ม หรือลองกำหนดเองให้ไม่เหมือนกันแต่ละรอบสู่การตัดสินในแต่ละเวอร์ชัน เพื่อดูว่ารูปแบบใดมีประสิทธิภาพและสร้างผลลัพธ์ดีที่สุด เช่น การเข้าถึงโพสต์, เพิ่มยอดขาย, เพิ่มยอดคลิก (CTR) หรือการลงทะเบียน โดยการได้มาซึ่งผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพนี้ต้องใช้ข้อมูลและสถิติเป็นเกณฑ์วัดผลแทนการคาดเดา
สรุป 7 วิธีทำ A/B Testing ให้เร็วและวัดผลได้ชัดเจนสไตล์ Agency
การทำการทดสอบนี้จะประสบความสำเร็จไม่ได้ถ้าไม่มีการวางแผนอย่างละเอียดและการปฏิบัติตามหลักการที่ถูกต้อง ดังนั้นก่อนทำจำเป็นต้องเตรียมความพร้อมตามองค์ประกอบ ดังนี้
- การตั้งเป้าหมาย : การตั้งเป้าหมายให้ชัดเจนจะทำให้วัดผลได้ง่าย แนะนำว่าให้ใช้หลักการ SMART ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญที่จะทำให้การทดสอบของเราประสบความสำเร็จ สิ่งสำคัญคือต้องตั้งเป้าหมายที่ชัดเจน ไม่คลุมเครือ เช่น อยากให้เว็บไซต์ดีขึ้น
หลักการ SMART จะแบ่งเป็น
S – Specific (เจาะจง) : เป้าหมายต้องชัดเจน ไม่คลุมเครือ
❌ เพิ่มการขาย
✅ เพิ่มอัตราการคลิกที่ปุ่มสั่งซื้อ
M – Measurable (วัดผลได้) : ต้องมีตัวเลขที่วัดได้จริง
❌ ดีขึ้น
✅ จาก 15% เป็น 20%
A – Achievable (ทำได้จริง) : เป้าหมายต้องเป็นไปได้ ไม่สูงเกินไป
R – Relevant (เกี่ยวข้อง) : สอดคล้องกับเป้าหมายธุรกิจหลัก
T – Time-bound (มีกรอบเวลา) : กำหนดระยะเวลาชัดเจน เช่น ภายใน 2 สัปดาห์
ตัวอย่างเช่น การเปลี่ยนสีปุ่มจากสีน้ำเงินเป็นสีแดงเพื่อตรวจสอบว่าอัตราคลิกเปลี่ยนแปลงไหม และกำหนดระยะเวลาทดสอบ 2 สัปดาห์ เพื่อเก็บข้อมูลจำนวนกลุ่มตัวอย่างที่เพียงพอ
- เลือกตัวแปรที่จะทดสอบทีละตัว : เพื่อให้สามารถวัดผลได้ชัดเจน เช่น สีปุ่ม CTA, ข้อความบนปุ่ม, หัวข้อบนหน้าเว็บไซต์ แต่ละเวอร์ชันต้องแตกต่างกันแค่ตัวแปรเดียว เพื่อหลีกเลี่ยงความสับสนในผลลัพธ์
- สร้างเวอร์ชัน A และ B ที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน : เช่น ปุ่มสีเขียว vs ปุ่มสีแดง หรือข้อความ “ซื้อเลย” vs “เพิ่มลงตะกร้า” เพื่อให้ผู้ใช้กลุ่มตัวอย่างได้เห็นอย่างชัดเจน และส่งผลให้เกิดพฤติกรรมต่างกันจริง ๆ
ตัวอย่างเช่น โชว์รูมรถยนต์แห่งหนึ่งทดสอบการเปลี่ยนแปลงข้อความบนปุ่ม CTA จาก “จองทดลองขับ” เป็น “รับข้อเสนอพิเศษวันนี้” ผลปรากฏว่าเวอร์ชันใหม่เพิ่มยอด Conversion ขึ้น 12% ภายใน 2 สัปดาห์ เป็นต้น
- เลือกกลุ่มตัวอย่างแบบสุ่มและมีความเป็นตัวแทนของกลุ่มเป้าหมาย : แบ่งกลุ่มตัวอย่างออกเป็นสองกลุ่มที่มีคุณสมบัติใกล้เคียงกัน เช่น เพศ อายุ พฤติกรรม เพื่อหลีกเลี่ยง Bias ที่อาจเกิดขึ้นในการทดสอบ
- กำหนดระยะเวลาการทดสอบให้เหมาะสม : ดูจากสินค้าและบริการแล้วกำหนดระยะเวลาที่ไม่สั้นหรือยาวเกินไป เพื่อเก็บข้อมูลในปริมาณที่เพียงพอและไม่ได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอก
ตัวอย่างเช่น ทำการทดสอบอย่างน้อย 1-2 สัปดาห์ ขึ้นกับจำนวนผู้ชมเว็บไซต์และเป้าหมาย เป็นต้น - ใช้เครื่องมือวัดผลและวิเคราะห์อย่างเหมาะสม : เช่น Google Optimize, Optimizely หรือเครื่องมือที่ผสานกับ Google Analytics ในการเก็บข้อมูล รวมถึงจัดการกลุ่มตัวอย่างและรายงานผลสถิติอย่างรวดเร็ว
- วิเคราะห์ผลโดยใช้ตัวชี้วัดสำคัญ : เช่น อัตราการแปลงลูกค้า หรือเปอร์เซ็นต์ของผู้เข้าชมที่ทำการกระทำตามที่เราต้องการเมื่อเทียบกับจำนวนผู้เข้าชมทั้งหมด (Conversion Rate), อัตราการคลิกหรือ CTR (Click-through Rate), เปอร์เซ็นต์ของผู้เข้าชมที่เข้าชมเว็บไซต์ (Bounce Rate)

เครื่องมือยอดนิยมสำหรับทำ A/B Testing ที่สำคัญมีอะไรบ้าง ?
เครื่องมือยอดนิยมที่ช่วยให้ทำ A/B Testing ได้รวดเร็วและแม่นยำ เช่น Google Optimize ที่มีฟีเจอร์สร้างเวอร์ชันทดสอบง่าย ๆ, Optimizely ที่เน้นการวิเคราะห์และปรับแต่งประสบการณ์ผู้ใช้, และ VWO ที่มีระบบรายงานผลและการวิเคราะห์เชิงลึก แน่นอนว่าการใช้เครื่องมือเหล่านี้จะช่วยลดเวลาในการทดสอบ และมาพร้อมฟีเจอร์ที่สามารถเลือกกลุ่มเป้าหมายแบบสุ่มและการรายงานผลแบบเรียลไทม์ เช่น Google Optimize ที่ผสานกับ Google Analytics ทำให้วัดผลและวิเคราะห์ Conversion Rate ได้ง่ายกว่า
การวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อเพิ่ม Conversion ทำอย่างไร
การวิเคราะห์ควรใช้ตัวชี้วัดสำคัญ เช่น Conversion Rate, CTR, Bounce Rate และใช้การทดสอบทางสถิติ เช่น t-test เพื่อประเมินความแตกต่างว่ามีความหมายหรือไม่ นอกจากนี้ต้องตั้ง Confidence Level โดยส่วนมากมักจะ 95% เพื่อยืนยันว่าผลที่ได้ไม่ใช่ความบังเอิญ ซึ่งควรตรวจสอบขนาดตัวอย่างและความเพียงพอของข้อมูลเพื่อให้ผลการทดสอบน่าเชื่อถือ โดยการวิเคราะห์ต้องทำอย่างมีระบบและมีรายงานชัดเจน เพื่อใช้ตัดสินใจปรับปรุงที่เหมาะสม
ทั้งนี้ การติดตามผลอย่างต่อเนื่องหลังการปรับเปลี่ยนเพื่อยืนยันว่าการเปลี่ยนแปลงนั้นยังคงมีประสิทธิภาพ และไม่เกิดผลเสียต่อการใช้งานหรือประสบการณ์ลูกค้าในระยะยาวก็จะทำให้ธุรกิจมีแนวทางในการทำแคมเปญที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
ข้อควรระวังการทำ A/B Testing เพื่อไม่ให้ผลผิดเพี้ยน
ข้อผิดพลาดที่พบบ่อย เช่น การเลือกกลุ่มตัวอย่างไม่เหมาะสม, การตั้งสมมติฐานไม่ชัดเจน หรือขนาดตัวอย่างเล็กเกินไป ทำให้ผลลัพธ์ไม่น่าเชื่อถือ นอกจากนี้การหาข้อสรุปก่อนเวลาที่เหมาะสมหรือการเปลี่ยนแปลงหลายตัวแปรพร้อมกัน (Multivariate Testing) โดยไม่มีเครื่องมือช่วยวิเคราะห์ อาจทำให้เกิดการตีความผิด
ดังนั้นจึงควรหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาด ด้วยการวางแผนการทดสอบอย่างรอบคอบ กำหนดระยะเวลาและกลุ่มตัวอย่างที่เหมาะสม พร้อมหลีกเลี่ยงการประเมินผลลัพธ์เพียงแค่แนวโน้มหรือค่าผลลัพธ์ที่ไม่มั่นคง
เพิ่ม Conversion Rate อย่างยั่งยืนด้วยการทำการทดสอบที่มีประสิทธิภาพ
การนำ A/B Testing มาใช้เป็นหนึ่งในกลยุทธ์การตลาดรูปแบบหนึ่งที่จะช่วยให้ธุรกิจสามารถเพิ่ม Conversion Rate ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยอาศัยข้อมูลจริง การวางแผนและทำตามขั้นตอนหลักที่กล่าวไปข้างต้น ตั้งแต่การตั้งเป้าหมายแบบ SMART ไปจนถึงการวิเคราะห์ผลด้วยสถิติ จะช่วยให้การทดสอบมีความแม่นยำและน่าเชื่อถือ รวมถึงการใช้เครื่องมือที่เหมาะสมอย่าง Google Optimize หรือ Optimizely และหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดทั่วไปที่คนส่วนใหญ่มักติดกับดัก ก็จะทำให้ธุรกิจของคุณสามารถปรับปรุงประสบการณ์ผู้ใช้และเพิ่มยอดขายได้อย่างยั่งยืน
แต่แน่นอนว่าข้อมูลที่ยุ่งยากนี้ต้องอาศัยประสบการณ์ร่วมด้วย ซึ่งหากคุณยังไม่เคยทำมาก่อน หรือทำแล้วเกิดปัญหาอาจส่งผลต่อธุรกิจในระยะยาวได้ เพียงปรึกษาทีมงาน Convert Digital เราพร้อมดูแลและแก้ไขปัญหาเหล่านี้ เพราะนอกจากการทำ A/B Testing แล้ว เรายังมีความเชี่ยวชาญในด้านอื่น ๆ อย่างครบวงจร ไม่ว่าจะเป็นการสร้างคอนเทนต์, SEO, ทำโปรดักส์ชันทุกขนาด เรียกได้ว่าเป็นโซลูชันแบบ All-In-One ที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการ พร้อมขับเคลื่อนธุรกิจของคุณสู่เป้าหมายที่เกินกว่าที่คุณเคยตั้งไว้
ผู้เขียน
ธิดารัตน์ ศรีวิไล : หัวหน้าทีมคอนเทนต์
ตัวแม่ด้านคอนเทนต์ที่รักในการอัพเดทความรู้ใหม่ ๆ มีประสบการณ์ทั้งในด้านการตลาดและการเป็นนักข่าวมากว่า 10 ปี เธอเป็นนักชิมตัวยงที่รักการออกกำลังกาย และยังเก่งในการทำขนมอบหลากหลายชนิดในเวลาว่างอีกด้วย